PTT Group Sharings
21 เมษายน 2565

Work-Life Balance เวิร์กไร้บาลานซ์ แบ่งผิดชีวิตพัง

ปัจจุบันแนวคิดเกี่ยวกับการปรับสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว เพื่อลดผลกระทบจากการทำงานหนักเกินไป อย่างแนวคิดเรื่อง Work-life Balance เริ่มมีคนให้ความสำคัญกันมากขึ้น โดยความหมายของ Work-Life Balance คือการปรับสัดส่วนชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวให้สมดุลกัน แม้ทุกคนจะมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่ก็สามารถสร้างสมดุลให้ชีวิตได้ในรูปแบบที่แตกต่างกัน บางคนให้ความสำคัญกับงานเป็นหลัก บางคนแบ่งเวลามาเพื่อดูแลครอบครัว ในขณะที่บางคนก็ใช้เวลาเพื่อไล่ตามความฝัน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วคนเราสามารถให้ความสำคัญกับทุกอย่างได้ เพียงแต่ต้องรู้จักบริหารเวลาให้เกิดความสมดุลกันทั้งด้านการทำงานและการใช้ชีวิต

เมื่อพูดถึง Work-Life Balance หลายคนมักจะคิดถึงการแบ่งเวลาแบบเป็นรูปธรรม เช่น ในวันหนึ่งมี 24 ชั่วโมง ควรใช้เวลาอยู่ที่ออฟฟิศเพื่อทำงานเป็นเวลา 8 ชั่วโมง อยู่นอกออฟฟิศเพื่อใช้เวลาส่วนตัว เช่น ออกกำลังกาย พักผ่อน และทำงานอดิเรกเป็นเวลา 8 ชั่วโมง และใช้เวลาที่เหลือนอนพักผ่อนเป็นเวลา 8 ชั่วโมงเท่าๆ กัน โดยแนวคิดแบบนี้ขัดแย้งกับชีวิตการทำงานในปัจจุบัน โดยเฉพาะของพนักงานที่ทำงานรูปแบบต่อ OT ยิ่งหากเป็นอาชีพอิสระอย่างฟรีแลนซ์ (Freelance) หรือคนที่พยายามมีธุรกิจเป็นของตัวเอง อย่างเช่น ขายของออนไลน์ ทำงาน Startup แบบไม่มีออฟฟิศ กลุ่มคนเหล่านี้บางทีอาจจะใช้เวลาทำงาน นานกว่านั้น อีกทั้งเทคโนโลยีในยุคปัจจุบันช่วยให้เราสามารถเชื่อมต่อและเข้าถึงงานได้ทุกที่ ทุกเวลา ทำให้เราไม่สามารถแยก “การทำงาน” กับ “ชีวิตส่วนตัว” ออกจากกันได้อย่างแท้จริง

การสร้าง Work-Life Balance ไม่ได้หมายถึงแค่การคิดสูตรง่ายๆ ว่าควรแบ่งเวลาให้กับแต่ละอย่างในชีวิตเท่าไหร่ ในเมื่อเราไม่สามารถแยกงานออกจากชีวิตส่วนตัวได้ง่ายอย่างที่คิด หรือในทางทฤษฎีควรจะทำให้เกิดสมดุลระหว่างงานและชีวิตได้แบบ 50:50 ก็อาจไม่ได้เป็นไปตามนั้น เพราะเมื่องานหนักทำให้เราไม่สามารถหยุดคิดงานในเวลาพักผ่อน หรือในสถานการณ์โควิด-19 หลายคนทำงานแบบ Work From Home การหาสมดุลในชีวิตยิ่งทำได้ยาก เพราะที่ทำงานกับที่พักคือที่เดียวกัน ชีวิตส่วนตัวเรายิ่งปะปนกับงานได้ง่าย

ดังนั้นเราสามารถสร้างสมดุลให้ชีวิตได้ในรูปแบบที่แตกต่างกัน บางคนเลือกให้ความสำคัญกับงานเป็นหลัก บางคนแบ่งเวลามาเพื่อดูแลครอบครัว ในขณะที่บางคนก็ใช้เวลาเพื่อทำตามความฝัน โดยเราสามารถให้ความสำคัญกับทุกอย่างได้ เพียงแต่ต้องรู้จักบริหารเวลาให้เกิดความสมดุลกันทั้งด้านการทำงานและการใช้ชีวิต โดยมีเทคนิคง่าย ๆ 5 วิธี ที่จะช่วยสร้างให้เรามี Work-Life Balance อย่างมีประสิทธิภาพ

1. หาจุดพอดีให้ได้

การมี Work-Life Balance ที่ดีไม่มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอน และไม่จำเป็นที่ทั้งสองด้านจะต้องเท่ากันเสมอไป เพราะต้องคำนึงถึงความต้องการของเรา ทุกคนสามารถหาจุดที่พอดีของตัวเองได้ และความพอดีในวันนี้อาจจะไม่เท่ากับความพอดีในอนาคต เพราะเมื่อเราเติบโตขึ้น หน้าที่รับผิดชอบก็อาจมากขึ้น ซึ่งเวลาที่เหลือจากการทำงานก็ขึ้นอยู่กับการจัดลำดับความสำคัญในเรื่องต่าง ๆ ของตัวเราเอง โดยให้ความสำคัญกับสิ่งที่ตัวเองต้องการ เราอาจถามตัวเองว่าแนวทาง Work-Life Balance ที่กำลังทำนั้นมีความสุขที่จะทำมันไหม

2. ขีดเส้นแบ่งให้ชัดเจนระหว่างงานและเรื่องที่บ้าน

ควรต้องแยกสิ่งที่ต้องทำที่ทำงานกับที่บ้านออกจากกันอย่างเด็ดขาด ตั้งใจกับการทำงานเมื่ออยู่ในเวลางาน และให้เวลากับตัวเองและครอบครัวอย่างเต็มที่เมื่อหมดเวลางาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำงานแบบ Work from Home ควรมีการจัดสถานที่และโต๊ะทำงานให้อยู่ในมุมที่เหมาะสมจะทำให้สมองของเราค่อย ๆ แยกแยะได้ว่า ถ้าอยู่บนโต๊ะตัวนี้จะเป็นการอยู่ในสภาวะการทำงาน ซึ่งจะทำให้เรามีสมาธิมากขึ้น ส่วนเคล็ดลับการทำงานที่บ้านก็คือ เอาจตั้งโต๊ะทำงานของเราในมุมโปรด มุมข้างหน้าต่าง หรือมุมระเบียง เมื่อล้าจากงานจะได้มองออกไปข้างนอกเพื่อพักสายตาได้

3. ขอความช่วยเหลือให้เป็นและพูดปฏิเสธให้ได้

การบอกปฏิเสธไม่ได้หมายความว่าเราต้องปฏิเสธคำขอร้องทุกอย่างที่เข้ามาตลอดเวลา แต่เป็นการปฏิเสธสิ่งที่ไม่สามารถทำได้ หรือถ้าทำแล้วจะกระทบกับเรื่องอื่น ๆ เช่น การปฏิเสธเรื่องงานที่นอกเหนือความรับผิดชอบมากเกินไป หรือปฏิเสธเมื่อมีคนมาชวนไปสังสรรค์ โดยใช้กิริยา คำพูดที่ไม่แสดงถึงความก้าวร้าว หรือใช้คำพูดที่ไม่ดีในการปฏิเสธ

รวมถึงการขอความช่วยเหลือจากคนอื่นในเรื่องที่เราไม่สามารถทำได้จริง ๆ ก็จะช่วยให้ลดความกดดันจากงานได้ บางครั้งเราอาจต้องเลิกที่จะเก็บเอางานและปัญหาทุกอย่างไว้กับตัวเอง ปรึกษาหรือพูดคุยกับใครสักคน เช่น หัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงานที่อาจช่วยแนะนำวิธีการแก้ปัญหาที่ดีขึ้น

4. พยายามไม่คิดเรื่องงานตลอดเวลา

เมื่อเราได้ทำงานอย่างเต็มที่และส่งต่อไปให้คนอื่นเรียบร้อยแล้ว การคิดถึงงานนั้นซ้ำ ๆ อาจทำให้สมองของเราทำงานหนักอยู่ตลอดเวลา จนอาจทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับหรือวิตกกังวล เพราะเราใช้ความคิดและตั้งคำถามว่า วันนี้งานทำถูกไหม พรุ่งนี้มีโปรเจกต์อะไรต้องทำอีก จนนำเรื่องงานมาปนกับเวลาในชีวิตประจำวันตั้งแต่หลับยันตื่น บางครั้งเราก็ไม่จำเป็นจะต้องทำทุกอย่างให้ออกมาเพอร์เฟกต์ เพียงแค่ทำมันอย่างเต็มที่มากที่สุดก็พอแล้ว

5.ทำสิ่งที่ตัวเองมีความสุข

เรามักจะได้ยินว่าคนทำงานต้อง Productive อยู่ตลอดเวลาหรือต้องเรียนรู้อย่างไม่มีสิ้นสุด จนทำให้หลายคนรู้สึกผิดเมื่อต้องใช้เวลาไปกับการทำอะไรบางอย่างที่ตัวเองชอบ การลองให้เวลากับตัวเองโดยการทำอะไรที่เราชอบและสนุกหรือมีความสุขไปกับมัน โดยไม่ต้องให้เวลาหรือ To-do List ต่าง ๆ มาจำกัดขอบเขต เช่น การออกไปทานอาหารค่ำ อ่านหนังสือ ดูทีวี หรือนอนพักอยู่บนโซฟา รวมไปถึงการปิดการติดต่อที่ไม่จำเป็นส่งผลให้เราได้เติมพลังเพื่อนำมาใช้กับการทำงานต่อได้

อ้างอิง
blog.jobthai.com
brandinside.asia
www.gqthailand.com
th.hrnote.asia

หัวข้อที่น่าสนใจ